ความสุขและความท้าทาย

1504 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ความสุขและความท้าทาย

สัปดาห์นี้เองเพื่อนคนหนึ่งส่งรูปมาให้จากเวอร์จิเนีย รัฐที่ผมเกิดและเติบโต สิ่งที่เห็นคือ หิมะปลายฤดูหนาว ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง หิมะนั้นสูงประมาณซัก 30 เซนติเมตรได้ ทุกอย่างดูขาวโพลนไปหมดและก็ ดู โอ้โห หนาวมาก ทำให้ผมหวลนึกถึงความทรงจำสมัยยังเด็ก ผมจำได้ว่า หลายๆครั้งตอนผมเป็นเด็ก ผมจะนอนอยู่บนเตียงแล้วมองออกไปบนหิมะที่พึ่งตกใหม่ๆ อากาศข้างนอกเย็นจัด แต่ว่าผมอบอุ่นสบายอยู่บนเตียงนอน บ้านผมมีเครื่องทำความร้อนที่ยอดเยี่ยมมาก ทำให้ทั้งบ้านอบอุ่น ตอนนั้นผมคงนึกว่า เยี่ยมไปเลย ได้ดูหิมะแล้วก็ยังได้อยู่อุ่นสบายพร้อมๆกัน

 

ตอนโตขึ้นมานี้ ผมได้ตระหนักว่ามีเด็กอีกจำนวนมากที่ไม่ได้มีบรรยากาศอบอุ่นสดวกสบายทางบ้าน  ผมมีความทรงจำนับไม่ถ้วน ในความรู้สึกมั่นคง ความรัก และรู้ว่าตนเองมีคุณค่าอย่างเด็กคนหนึ่ง เด็กๆในหลายประเทศนึกไม่ออกว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นเช่นไร เพราะว่าต้องอยู่ท่ามกลางความกลัว ความยากจน ไม่มีผู้ใหญ่ที่สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร 

 

ครอบครัวถูกออกแบบขึ้นมาโดยพระผู้สร้างเพื่อให้เป็นสถานที่แห่งความมั่นคงปลอดภัย และการเติบโตของสมาชิกทุกคน แต่ละคนมีหน้าที่ที่จะต้องทำ เช่นเดียวกัน ทุกๆคนจะเป็นผู้รับของพฤติกรรมและทัศนคติของสมาชิกคนอื่นๆ จริงอยู่ว่าเด็กๆอาจจะเปลี่ยนไปมากเมื่อเขาเติบโตและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ส่วนผู้ใหญ่เองก็ได้เปลี่ยนหรือถูกเปลี่ยนแปลงจากเหตุการณ์ทั้งหลายในครอบครัวด้วยเช่นกัน เมื่อเราคิดถึงประโยชน์ของการเป็นครอบครัว เราก็จะพบว่าแท้จริงแล้วครอบครัวก็มีผลเชิงลบกับผู้คนได้เช่นกัน

 

ก่อนอื่นเราทุกคนรู้ดีว่าครอบครัวเป็ยหน่วยพื้นฐาน เป็นองค์กรที่เบื้องต้นของสังคม ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณจะพบครอบครัวได้ทุกที่ทั่วโลก เราจะไม่พบสังคมที่มีครอบครัว และสังคมอื่นที่ไม่มีครอบครัว ครอบครัวทั้งหมดในโลกนี้อาจไม่เหมือนกัน แต่ก็ถูกจัดเป็นครอบครัว เรารู้ว่าครอบครัวคืออะไร และครอบครัวมีไว้เพื่ออะไร

 

ปกติแล้วใจกลางของครอบครัวก็คือคู่สมรส สามีและภรรยา หน้าที่และความรับผิดชอบอาจแตกต่างกันไปแล้วแต่วัฒนธรรม แต่ก็ไม่ยากที่จะบอกว่าใครเป็นใครในครอบครัว ขณะที่บทบาทอาจไม่เหมือนกันทั่วทั้งโลก เรายังได้เห็นรูปแบบ และรู้ว่าครอบครัวถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย (วัตถุประสงค์) เราเพิ่มลูกๆเข้าไปให้กับสามีและภรรยา ทำให้เกิดเป็นหน่วยพื้นฐานของครอบครัว ถ้าเราขยายโฟกัสของภาพนี้ให้กว้างขึ้น เราจะพบว่าด้านบนมีผู้คนที่สูงวัยกว่าสมาชิกคนอื่นในครอบครัว และด้านล่างเราจะเห็นอีกกลุ่มซึ่งจะมีอายุน้อยกว่าครอบครัว และนี่ก็คือภาพขยายของครอบครัวซึ่งเราจะเห็นสามีและภรรยาอยู่ปลายด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งเราจะเห็นครอบครัวคือสามีและภรรยาของลูกๆในหน่วยพื้นฐานนี้ ขึ้นอยู่กับสังคม การรวมกันแบบนี้อาจจะเรียกว่า “ครอบครัวของฉัน”

 

ครอบครัวอาจยังเรียกว่าเป็น “ครอบครัว” เมื่อคนสำคัญในภาพอาจหายไป พ่อหรือแม่ คนเดียวกับลูกๆ ก็อาจเรียกเป็นครอบครัวได้ ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้แต่งงานยังคงมีครอบครัว ขึ้กับเวลาและสถานที่ สิ่งที่เราเรียกว่าครอบครัวจะแตกต่างกันในด้านโครงสร้างและความสำคัญ พูดอีกอย่างก็คือเราสามารถออกไปจากครอบครัวหนึ่งสู่ครอบครัวอื่นๆได้

 

ผมและภรรยามีลูก 2 คน เป็นบุตรบุญธรรม พวกเขาเข้ามาสู่ครอบครัวของเราโดยผ่านขั้นตอนทางกฎหมาย และนั่นก็ทำให้เราเป็นครอบครัวแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เกิดจากเรา  สรุปก็คือครอบครัวถูกออกแบบมาให้มีความสำคัญในชีวิตของสมาชิกของครอบครัว  เพราะว่าครอบครัวมีความสำคัญ ลักษณะของครอบครัวจึงเป็นภาพรวมของลักษณะของสมาชิกของครอบครัว  และยังมากไปกว่านั้นอีก มากกว่าได้อย่างไร ก็เพราะว่าครอบครัวยังได้ปรับเปลี่ยนลักษณะของสมาชิกของครอบครัว ด้วย 

 

เรื่องที่สอง ครอบครัวอาจจะแข็งแรงหรือไม่ก็ได้ เราคิดว่าครอบครัวจะแข็งแรงถ้าครอบครัวมีผลเชิงบวกกับสมาชิกของครอบครัว เราคิดว่าครอบครัวจะไม่แข็งแรงถ้าครอบครัวไม่มีผลเชิงบวกกับสมาชิกของครอบครัว ตัวอย่างหนึ่งของครอบครัวที่แข็งแรงคือ ครอบครัวที่ลูกๆมีวินัยอย่างมากและมีทักษะในการแก้ไขปัญหาได้  ครอบครัวที่แข็งแรงคือ ครอบครัวที่ลูกๆ มีทักษะความสัมพันธ์ ที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ ที่มีความสุขและสบายๆกับความสัมพันธ์ ภายนอกครอบครัว

 

ครอบครัวที่ไม่แข็งแรงทำให้ ลูกๆมีความหวาดกลัวคนรอบข้าง ทำให้มองผู้อื่นในแง่ลบ และทำให้เข้ากับคนอื่นได้ยาก เพราะว่าลูกๆไม่ได้ถูกให้คุณค่า ความรัก ความซาบซึ้งใจพวกเขาจึงมีความคิดเชิงลบกับตนเอง  เด็กๆแบบนี้จึงรู้สึกเหงาแม้ว่าจะอยู่ในครอบครัว เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อพวกเขาโตขึ้นพวกเขาไม่สามารถมีความสัมพันธ์แท้จริงกับใครและพบว่าตนเองมีครอบครัวที่ไม่แข็งแรงคือมีทักษะความสัมพันธ์

 

เล็กโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่แข็งแรง พ่อผิดหวังที่เธอไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย เธอเป็นลูกคนเดียวอยู่หลายปี ตลอดช่วงเวลานั้นเล็ก ทำอะไร ไม่เคยถูกใจพ่อเลย  ประมาณ 10  ปีต่อมา พ่อแม่มีลูกอีกคน ก็เป็นผู้หญิงอีก คราวนี้เล็กแสดงออกว่าไม่ชอบความคิดของพ่อ แม่ก็ไม่เคยช่วยปกป้องหรือเรียกร้องให้เล็กเลย เล็กจึงรู้สึกห่างจากพ่อแม่ เมื่อเล็กโตขึ้นและแต่งงาน เธอก็แต่งงานกับผู้ชายที่ชอบเรียกร้องจากเธอ และแสดงความไม่พอใจกับเธอ ครอบครัวใหม่ของเล็กก็ไม่แข็งแรงเช่นกัน

 

เรามักเห็นครอบครัวที่ไม่แข็งแรงมักมีการสมรสที่ไม่แข็งแรงเป็นจุดศูนย์กลาง พ่อแม่ไม่สามารถเข้ากันได้ดี สื่อสารกันได้ไม่ดี ไม่เข้าใจกัน มีคนใดคนหนึ่งชอบข่มอีกคนหนึ่ง เมื่อชีวิตสมรสไม่แข็งแรง พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมักจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่แข็งแรงกับลูก หมายความว่า พ่อหรือแม่มองลูกว่าเป็นตัวแทนของอีกคน ลูกก็เลยถูกคาดหวังให้เล่นบทซึ่งควรเป็นของผู้ใหญ่   แทนที่เราจะเห็นความสัมพันธ์ ของสามีภรรยา เรากลับจะเห็นสามเหลี่ยมซึ่งลูกคนหนึ่งอยู่ในตำแหน่งเท่ากันกับพ่อแม่ นี่คือสัญญาณของครอบครัวที่ไม่แข็งแรง

 

ครอบครัวที่แข็งแรงจำเป็นต้องมีคสพของชีวิตสมรสที่แข็งแรงด้วย ครอบครัวที่แข็งแรงมักมีการสมรสที่แข็งแรงเป็นจุดศูนย์กลาง เช่นเดียวกับครอบครัวเป็นสถานที่ปลอดภัยและพัฒนาการสำหรับเด็กๆ และก็สำหรับพ่อแม่ด้วยเช่นกัน พ่อแม่มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ แต่ละคนก็รู้สึกมีคุณค่า ให้เกียรติซึ่งกันและกันเมื่อชายและหญิงแต่งงานกัน พวกเขาก็ยังไม่ได้หยุดการพัฒนา พวกเขายังคงมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตลอดชีวิต เราแต่งงานกันเพื่อสิ่งที่เราเป็นและกำลังจะเป็น ครอบครัวจะแข็งแรงถ้าทุกคนได้ในสิ่งที่จำเป็น ครอบครัวจะแข็งแรงเมื่อสมาชิกสามารถเติบโตและพัฒนา

 

สิ่งที่สาม เราสามารถช่วยให้เป็นในสิ่งที่จำเป็น  ครอบครัวสามารถเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาเปลี่ยนแปลงเสมอ ครอบครัวที่แข็งแรงจะมักจะไม่อยู่นิ่ง เราบรรยายครอบครัวเหมือนเป็นระบบระบบหนึ่ง หมายความว่าแต่ละส่วนของครอบครัวมีผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ เช่นเดียวกับส่วนต่างๆของร่างกายเรา ถ้าส่วนใดของร่างกายเจ็บป่วย ส่วนอื่นๆก็จะพลอยป่วยไปด้วย เช่นเดียวกัน ส่วนต่างๆของร่างกายก็มีผลกระทลเชิงบวกกับส่วนอื่นๆ เช่นเดียวกัน

 

ให้ผมเล่าเรื่องของโจ กับครอบครัวให้ฟัง โจมีพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อตี่ซึ่งป่วยเป็นโรคทางจิตใจ เมื่อพี่ชายคนนี้ต้องไปรักษาอยู่ในโรงพยาบาลหลายเดือน บางคนก็รู้สึกไม่พอใจ พ่อของโจก็รู้สึกอับอายและไม่ค่อยอยากพบเพื่อนฝูง น้องสาวคนเล็กก็โกรธและกล่าวโทษครอบครัวที่ทำโทษตี่ แม่โจกลายเป็นโรคซึมเศร้า และไม่รับประทานอาหาร ที่เราเห็น ก็คือ สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวป่วย และความไม่แข็งแรงก็จะกระจายไปทั้งครอบครัว

 

แต่โจตอบสนองแตกต่างจากคนอื่น เขาตัดสินใจหาสาเหตุให้ได้มากที่สุดเกี่ยวกับอาการของพี่ชาย เขาจึงไปเยี่ยมพี่ชายที่โรงพยาบาล ตอนที่โจไปเยี่ยม พี่ชายก็ไม่ได้โศรกเสร้า หรือร้องไห้ โจรู้ว่าพี่ชายชอบเรื่องขำขัน แต่ละครั้งที่ไปก็จะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง โจให้ความเข้าใจและความรักไปอย่างต่อเนื่อง 

และมี่บ้านโจจะเล่าถึงพี่ชายไปเรื่อยๆ แม้ว่าบางคนจะคิดว่าเขาไม่ควรทำอย่างนั้น แต่โจไม่ได้รู้สึกอับอาย เขาเล่าเรื่องพี่ชายอย่างภาคภูมิใจและเล่าในส่วนที่ดีของพี่ ไม่นาน คนอื่นๆในครอบครัวก็ตามโจไปเยี่ยมด้วย ทีละเล็กทีละน้อย ทั้งครอบครัวก็เปลี่ยนท่าที ทุกอย่างเป็นเพราะโจเป็นแรงผลักดันด้านบวกให้กับครอบครัว โจไม่ยอมให้ความเจ็บป่วยของพี่ทำให้เขาไม่แข็งแรงไปด้วย

สิ่งที่เป็นบวกคืเมื่อครอบครัวเริ่มทำงานอย่าง แข็งแรง ดังนั้นเมื่อตี่ พี่ที่อยู่ที่โรงพยาบาล ก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นไปด้วย เราเริ่มพูดคุย เขาชอบที่มีคนในครอบครัวไปเยี่ยม เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็รายงานว่าอาการของเขาดีขึ้นอย่างมาก

บางครั้งเมื่อสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่งสามารถมีอิทธิพลอย่างมากกับคนอื่นๆ เราก็จำเป็นต้องรีบหาความรู้ที่จำเป็น ต้องรีบค้นหาความช่วยเหลือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์  และต้องตัดสินใจที่จะเป็นแรงผลักดันด้านบวกของครอบครัว

 

เรื่องที่สี่ ลักษณะของครอบครัวอยู่ในพฤติกรรมของครอบครัว เราอาจบอกว่า ครอบครัวเป็นอย่างที่ครอบครัวทำ ครอบครัวแห่งรัก ก็แสดงความรัก ครอบครัวที่เลี้ยงดูคือครอบครัวที่ช่วยให้สมาชิกของครอบครัวเติบโตและพัฒนา แล้วคำนี้ล่ะ ความมั่นคงปลอดภัยที่อยู่ในชื่อเรื่องของเรา  ครอบครัวที่แข็งแรงเป็นสถานที่ที่มั่นคงปลอดภัย ที่ซึ่งไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัว ไม่มีอันตราย ครอบครัวที่อันตรายคือครอบครัวที่ สมาชิกถูกทำให้รู้สึกว่าเป็นคนชั้นสอง เมื่อคนใดคนหนึ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่และใช้ประโยชน์นั้นเอาเปรียบคนอื่น ครอบครัวที่อันตรายคือครอบครัวที่ผู้คนไม่ได้รับในสิ่งจำเป็น

 

คำแนะนำยอดเยี่ยมหนึ่งที่ผมได้รับคือ “จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้าและรักคนอื่นเหมือนรักตนเอง” โอ้โห สมมติว่าในครอบครัวของเรา เรารักกันและกันเหมือนเรารักตนเอง ต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ ถ้าสิ่งนี้เป็นความจริง เราทุกคนจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ถ้าสิ่งนี้เป็นความจริง เราทุกคนจะทำให้แน่ใจได้ว่าทุกคนจะได้รับสิ่งที่เขาจำเป็น ทุกคนจะได้รับการเอาใจใส่ ทุกคนจะได้รับการเลี้ยงดู

 

เรื่องที่ห้า เราไม่เคยออกจากครอบครัวเลย แม้ว่าเราจะย้ายจากครอบครัวหนึ่งไปสู่อีกครอบครัวหนึ่ง เราอยู่ในครอบครัวตั้งแต่เราเกิดจนตาย การอยู่ในครอบครัวไม่ได้หมายความว่าอยู่กับครอบครัว เมื่อสังคมมีการเคลื่อนที่มากขึ้น ครอบครัวอาจดูเหมือนแยกจากกันมากขึ้น อยู่ไกลกันกว่าช่วงเวลาสมัยที่ปู่ย่า พ่อแม่ และเด็กๆ อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เราแต่งงานและเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่ คนรุ่นหนึ่งเดินตามหลังคนรุ่นก่อน และเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เราอาจให้คำจำกัดความของครอบครัวใหม่ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงดูลูกตามลำพัง ครอบครัวผสมเมื่อคนที่หย่าร้างที่มีลูกติดสองคนมาแต่งงานกัน และสองครอบครัวก็มาอยู่ร่วมกัน เด็กๆก็จะมีพี่น้องคนละพ่อหรือคนละแม่เมื่อ พ่อหรือแม่ที่มาแต่งงานกันมีลูกขึ้นมา

ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณแห่งความหวัง ครอบครัวยังมีอยู่ด้วยกัน เรามีครอบครัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และผมคิดว่าจะยังมีต่อไปเสมอ

 

สรุปแล้ว ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญของสังคม เมื่อครอบครัวเคลื่อนไป สังคม ก็เคลื่อนไปด้วย การเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นในสังคม ก็เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ผมหวังว่าคุณจะร่วมกันกับผมหันมาห่วงใยครอบครัว และอยากจะทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อให้ครอบครัวเข้มแข็ง เราสามารถสนับสนุนกลุ่มหรือองค์กรที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว การศึกษาเกี่ยวกับครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ไม่ค่อยจะพบได้ เราควรจะให้กฎหมายปกป้องและสร้างเสริมครอบครัว สุดท้ายเราต้องต่อสู้กับพฤติกรรมและอิทธิพลต่างๆซึ่งทำร้ายครอบครัวหรือทำให้ครอบครัวอ่อนแอลง

ครอบครัวของคุณอาจไม่แข็งแรงในขณะนี้ คุณอาจกำลังเผชิญกับความท้าทาย แต่คุณจะหาความช่วยเหลือได้ ความช่วยเหลือซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวของคุณแข็งแรง จำไว้ว่าคุณมีความรับผิดชอบที่จะช่วยให้ครอบครัวของคุณช่วยคุณ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้